ช่วงนี้เป็น “ช่วงเปลี่ยนแปลงแนวคิด”จากเดิมที่เน้นพัฒนาการมาเป็นการบูรณาการ เน้นการสร้างกระบวนการเรียนรู้ในลักษณะของความเป็นนานาชาติเพิ่มมากขึ้น การศึกษาเกี่ยวกับหลักสูตรจึงเป็นการศึกษาในเรื่องทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบูรณาการเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การเมือง เพศ รวมถึงแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นนานาชาติและการศึกษาหลักสูตรร่วมสมัย นอกจากนี้ The National Art Education Association-NAEA ยังได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “ศิลปศึกษา” ไว้ในมาตรฐานของศิลปศึกษาระดับชาติว่า ผู้เรียนควรมีความเข้าใจและสามารถประยุกต์ใช้สื่อศิลปะและกระบวนการทำงานได้ สามารถใช้โครงสร้างทางทัศนศิลป์และทำงานศิลปะตามหน้าที่ได้ สามารถสะท้อนความคิดเกี่ยวกับคุณค่าของผลงานศิลปะของตนเองและผู้อื่นได้ รวมถึงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะในสาขาวิชาอื่นได้ด้วย สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการรวมศิลปศึกษากับทฤษฎีอื่น ๆ ที่กลายเป็นความรู้พื้นฐานทั่วไปและได้รับการยอมรับในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีประเด็นหลักที่สำคัญ 3 ประเด็น คือ 1) ทฤษฎีการสร้างความรู้ (Constructivism) มีบทบาทเข้ามาแทนที่ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม(Behaviorism) ในลักษณะของแนวทางในการจัดการเรียนการสอนตามโครงสร้างของทฤษฎี เช่น การศึกษาและทำวิจัยเกี่ยวกับการวาดเส้นตามแนวคิดของ Jerome Bruner, Jean Piaget และ Lev Vygotsky เป็นต้น ทฤษฎีการสร้างความรู้นี้แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนมีบทบาทสำคัญในการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ขณะที่ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมมีแนวโน้มว่าผู้สอนจะเป็นผู้ให้ความรู้ ในมุมมองของทฤษฎีการสร้างความรู้ ครูหรือผู้สอนจึงมีบทบาทเป็นผู้อำนวยการที่ให้ความช่วยเหลือผู้เรียนในการทำความเข้าใจและช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนสามารถนำศักยภาพของตนเองไปประยุกต์ใช้ได้สูงสุด 2) แนวคิดPostmodernism นี้เป็นแนวคิดที่ได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดสมัยใหม่ โดยเริ่มจากที่ Charles Alexander Jencks (1986) ได้วิเคราะห์ว่า การนำแนวคิด Postmodernism มาใช้ร่วมกันทำให้ขาดการศึกษาด้านวัฒนธรรม ศิลปศึกษาจึงควรเน้นการศึกษาด้านพหุวัฒนธรรมเพิ่มมากขึ้นโดยผสมผสานกับหลักการศึกษาในอดีต 3) ทฤษฎีพหุปัญญาของ Howard Gardner (1983) ชี้ให้เห็นว่าความคิดและการเรียนรู้ของผู้เรียนอยู่บนจุดแข็งของสติปัญญาของบุคคล โดย Gardner แบ่งความสามารถของคนออกเป็น 8 ด้าน คือ 1. ด้านภาษา (Linguistic-Verbal intelligence) เป็นความสามารถที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ข้อมูล และสร้างสรรค์ผลงานที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารด้วยภาษาพูดและภาษาเขียน เช่น การปราศรัย การเขียนหนังสือและการจดบันทึก 2. ด้านตรรกะ (Logical-Mathematical intelligence) เป็นความสามารถด้านการพัฒนาและทดสอบสมการ การคำนวนและแก้ไขปัญหาเชิงนามธรรม 3. ด้านมิติสัมพันธ์ (Visual-Spatial intelligence) เป็นความสามารถด้านการจำและจัดการพื้นที่ว่างของภาพทั้งขนาดใหญ่และเล็กได้ 4. ด้านดนตรี (Music intelligence) เป็นความสามารถด้านการผลิต ความจำ และการสร้างความหมายของความแตกต่างในรูปแบบของเสียง 5. ด้านความเข้าใจในธรรมชาติ (Naturalist intelligence) เป็นความสามารถด้านการจำแนกและแยกแยะระหว่างความแตกต่างของประเภทของต้นไม้ สัตว์และข้อมูลเกี่ยวกับอากาศที่พบในธรรมชาติของโลก 6. ด้านการเคลื่อนไหวทางร่างกาย (Bodily-Kinesthetic intelligence) เป็นความสามารถด้านการใช้ร่างกายของตนเองในการสร้างสรรค์ผลงานหรือแก้ไขปัญหา 7. ด้านการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น (Interpersonal intelligence) เป็นความสามารถด้านการจำและเข้าใจผู้อื่นด้านอารมณ์ ความต้องการ แรงจูงใจและความตั้งใจ 8. ด้านการมีปฏิสัมพันธ์กับตนเอง (Intrapersonal intelligence) เป็นความสามารถด้านการจำและเข้าใจตนเองด้านอารมณ์ ความต้องการ แรงจูงใจและความตั้งใจ ดังนั้นการประยุกต์ใช้หลักสูตรแบบบูรณาการในลักษณะของศิลปกรรมศาสตร์ศึกษา (ทัศนศิลป์ ดนตรี และนาฏศิลป์ศึกษา) จึงเป็นไปตามทฤษฎีที่มีความหลากหลาย เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าถึงความรู้ ความเชื่อ คุณค่าของการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะและการตัดสินใจในการทำงานศิลปะรูปแบบต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ยังเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติ คุณค่าและความหมายของศิลปะในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ของแต่ละบุคคลด้วย (Consortium of National Arts Education Associations, 1994: 18-19)
แนวคิดเรื่องการสอนศิลปะในศตวรรษที่ 21 นี้จึงมีความเกี่ยวข้องกับสังคม ประสิทธิภาพการทำงาน ความเคลื่อนไหวของพฤติกรรมคนในสังคม ความเคลื่อนไหวของการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงเรื่องของความคิดและความฉลาดทางปัญญา (cognitive science) ซึ่งมีคำเฉพาะ คือ ประชานศาสตร์/วิทยาการการรู้/วิทยาการปัญญา/วิทยาศาสตร์พุทธิปัญญา เป็นต้น (Parsons, 2004: 785) นอกจากนี้ยังรวมถึงการวัดและประเมินผลตามแบบทดสอบในเรื่องต่าง ๆ ประเด็นดังกล่าวนี้นำมาซึ่งการตั้งคำถามเกี่ยวกับสาขาวิชาในช่วงหลังสมัยใหม่ การจัดการเรียนการสอนศิลปศึกษาตามแบบประเพณีของศาสตร์ในด้านนี้ บางครั้งจะแสดงให้เห็นถึงการจัดการเรียนการสอนสำหรับคนเฉพาะกลุ่ม การเก็บรวบรวมความรู้รวมถึงการทำงาน การประเมินของคนทั่วไป งานศิลปะพื้นบ้าน หรืองานศิลปะแบบประเพณีอื่น ๆ รวมถึงงาน/วัฒนธรรมที่รับรู้ได้จากการมองเห็น (ผู้เขียน) ด้วยจึงเป็นหลักสูตรที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสตร์สาขาวิชาต่าง ๆ ตลอดจนเป็นการนำเครื่องมือไปใช้ในการแก้ปัญหาที่หลากหลาย ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกหัดครูให้มีความรู้ ความสามารถมากกว่าการใช้ศาสตร์เพียงศาสตร์เดียว นอกจากนี้ยังจะต้องมีความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ ได้อย่างดีเพียงพอที่จะคัดสรรองค์ความรู้และประสบการณ์ที่เหมาะสมและมีประโยชน์สำหรับผู้เรียนได้ ดังนั้นนิสิตศิลปศึกษาจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ คือ 1) พัฒนาการทางสังคม 2) ปัญหาของผู้เรียน 3) ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกและพัฒนาการของผู้เรียน เพื่อที่จะสนับสนุนผู้เรียนในชั้นเรียนที่มีความแตกต่างกันให้สามารถเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพตนเองได้อย่างสูงสุด ความสัมพันธ์ระหว่างการเรียนรู้ด้านทัศนศิลป์และการได้มาซึ่งความรู้และทักษะในสาขาต่าง ๆ ที่มีความสำคัญนี้นำไปสู่การพัฒนาหลักสูตรทั่วไปและหลักสูตรศิลปศึกษาให้มีลักษณะของการบูรณาการความรู้ในลักษณะที่หลากหลายมากขึ้น

ภาพที่ 3 สรุปปรัชญาและช่วงเวลาสำคัญของหลักสูตรศิลปศึกษาต่างประเทศ ที่มา: พัฒนาจากข้อมูลที่ผู้เขียนสรุป
บทสรุปและการวิเคราะห์
ภาพรวมของประวัติศาสตร์และปรัชญาการพัฒนาหลักสูตรศิลปศึกษาในต่างประเทศตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 จนถึงศตวรรษที่ 21 นั้น มีความเชื่อมโยงระหว่างปรัชญาศิลปศึกษา แนวคิด และทฤษฎีที่ส่งผลต่อการออกแบบหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนในแต่ละยุคสมัย เริ่มจากในยุคแรก ศตวรรษที่ 19 ศิลปะได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มงานช่างฝีมือเน้นการฝึกทักษะเพื่อพัฒนาบุคคลให้มีความสามารถในการประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม ต่อมาศิลปศึกษาได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดใหม่เป็นการส่งเสริมให้พัฒนาสุนทรียะและความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในยุคของ John Ruskin และ Johann Pestalozzi ที่ให้ความสำคัญกับผู้เรียนด้านการแสดงออกผ่านการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและพัฒนาสุขภาวะทางจิตใจ ต่อมาช่วงศตวรรษที่ 20 จึงเน้นการจัดการเรียนการสอนให้เด็กเป็นศูนย์กลางมากขึ้น เนื่องจากให้ความสำคัญกับทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการจึงมีความเชื่อมโยงกับการจัดการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้เด็กได้พัฒนาทักษะเฉพาะตัวและแสดงออกได้อย่างอิสระสอดคล้องกับความนิยมในแนวคิดแบบ DBAE (Discipline-Based Art Education) ที่ได้จัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้ด้านศิลปะออกเป็น 4 ด้าน คือ ประวัติศาสตร์ศิลป์ ศิลปะปฏิบัติ สุนทรียศาสตร์ และศิลปวิจารณ์ และได้นำไปใช้เป็นกรอบสำคัญสำหรับพัฒนาผู้เรียนในช่วงระยะเวลาดังกล่าว สำหรับศิลปศึกษาในศตวรรษที่ 21 นั้นเป็นการจัดการศึกษาที่เน้นการบูรณาการศาสตร์ที่มีความหลากหลาย เช่น ศิลปะกับวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวัฒนธรรม ช่วงระยะเวลานี้จึงเป็นการจัดการเรียนรู้ในลักษณะแบบเปิดกว้างและยืดหยุ่น เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนในลักษณะพหุปัญญา (Multiple Intelligences) ตามแนวคิดของ Howard Gardner ที่เชื่อว่าบุคคลมีความสามารถหลากหลายและพัฒนาได้หลายด้านเช่นกัน ศิลปศึกษาในปัจจุบันจึงเน้นการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงในสังคมและความสนใจส่วนบุคคล
การออกแบบหลักสูตรศิลปศึกษาจึงควรสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้เชิงบูรณาการ จัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ผ่านการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีความพร้อมสำหรับความเปลี่ยนแปลงในสังคมยุคใหม่ เพื่อสร้างบุคคลที่มีทักษะรอบด้าน สามารถนำความรู้ และทักษะไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน สามารถปรับตัวในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ รวมถึงสร้างคุณค่าให้กับตนเองและสังคมได้
