การจัดการเรียนการสอนศิลปะในประเทศไทยนั้น ช่วงแรกได้รับอิทธิพลมาจากยุโรปเนื่องจากระบบการศึกษาเป็นไปตามแนวคิดของยุโรป เนื่องจากระบบการศึกษาในประเทศไทยรับวัฒนธรรมมาจากยุโรป ต่อมาเมื่อสหรัฐอเมริกาเข้ามามีบทบาทในโลกเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับบุคคลสำคัญในประเทศได้ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา การจัดการศึกษาในประเทศไทยจึงได้รับอิทธิพลจากสหรัฐอเมริการเพิ่มมากขึ้น ศิลปศึกษาในประเทศไทยจึงมีลักษณะของแนวคิดและการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการตามแนวคิดของการจัดการศึกษาแบบยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นสำคัญ ซึ่งในบทนี้จะเป็นการนำเสนอถึง ความเคลื่อนไหว ความสำคัญของศิลปศึกษาในประเทศไทยและปรัชญาของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนศิลปศึกษาในประเทศไทยในแต่ละช่วงเวลาดังนี้

ประวัติความเป็นมา ปรัชญาของหลักสูตรศิลปศึกษาในประเทศไทย

ความเป็นมาและปรัชญาของหลักสูตรศิลปศึกษาในประเทศไทยนั้นมีความเชื่อมโยงกับการรับอิทธิพลจากต่างประเทศควบคู่กันมาโดยตลอด ในบทนี้จึงจะนำเสนอถึงความเป็นมาของระบบการศึกษาของประเทศไทยในภาพรวมที่มีผลต่อความเคลื่อนไหวของการจัดการเรียนการสอนศิลปะในประเทศไทย รวมถึงหลักสูตรศิลปศึกษาระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาและอุดมศึกษา โดยจะแบ่งช่วงเวลาตามความสำคัญของการศึกษาในประเทศไทยออกเป็น 4 ช่วงเวลา ดังนี้ ช่วงที่ 1 การศึกษาสมัยโบราณ (พ.ศ. 1800 – 2411) ช่วงที่ 2 การจัดระบบการศึกษา (พ.ศ. 2411 – 2521) แบ่งเป็น ช่วงสร้างระบบการศึกษา (พ.ศ. 2411-2435) ช่วงเริ่มสอนศิลปะ (พ.ศ. 2435-2475) ช่วงสมัยนิยมศิลปศึกษา (พ.ศ. 2475-2521) ช่วงที่ 3 การศึกษาสมัยพัฒนา (พ.ศ. 2521 – 2545) และ ช่วงที่ 4 การศึกษาหลังสมัยใหม่ (พ.ศ. 2545 – ปัจจุบัน) โดยมีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบการศึกษา หลักสูตรศิลปศึกษาและการจัดการเรียนการสอนศิลปะดังต่อไปนี้ (กรมวิชาการ, 2524, 2539 (เอกสารหมายเลข 2, 5), 2544; กระทรวงศึกษาธิการ, 2493, 2551; เกสร ธิตะจารี, 2542; คณะครุศาสตร์, 2021; คณะอนุกรรมการจัดทำหนังสือประวัติครู, 2525 และ ทินกร บัวพูล, 2535)

ช่วงที่ 1 การศึกษาสมัยโบราณ (พ.ศ. 1800 – 2411)

 ในอดีตสมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และ รัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น การศึกษาศิลปะในประเทศไทยจะเป็นการเรียนการสอนอย่างไม่มีแบบแผน เมื่อมีการตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2325 ขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 1 (พ.ศ. 2325 – 2352) เป็นช่วงสร้างกรุงเทพ ฯ ด้านการศึกษานั้นยังไม่มีระบบที่ชัดเจน ส่วนใหญ่ผู้ปกครองจะนำบุตรไปบวชเรียนหรือฝากเรียนกับพระสงฆ์ที่วัด สำหรับการศึกษาที่ราชสำนักให้ความสำคัญ คือ งานด้านการศึกษาสำหรับพระภิกษุสงฆ์และการสังคยานาพระไตรปิฎก เพื่อรวบรวมความรู้ทางพระพุทธศาสนา มีการแปลวรรณคดีที่เป็นภาษาต่างประเทศให้เป็นภาษาไทย เช่น เรื่อง สามก๊ก ราชาธิราช มีการแต่งเพลงยาว บทละคร นิราศ ลิลิต ร่าย รวมถึงบทมโหรีด้วย สมัยรัชกาลที่ 2 (พ.ศ. 2352 – 2367) ประเทศไทยเน้นการให้ความสำคัญทางด้านศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะงานด้านวิจิตรศิลป์และวรรณคดี ให้ความสำคัญกับช่างฝีมือโดยเฉพาะช่างแกะสลัก งานด้านนาฏศิลป์ รวมถึงงานด้านอักษรศาสตร์ ช่วงเวลานี้ผู้ปกครองเริ่มนิยมนำบุตรหลานไปฝากเรียนที่วัดและให้เรียนกับพระภิกษุสงฆ์ นอกจากนี้ยังมีชาวยุโรป เช่น โปรตุเกส และอังกฤษได้เข้ามาติดต่อทำการค้ากับประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น จึงเกิดสถานทูตโปรตุเกสขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก สมัยรัชกาลที่ 3 (พ.ศ. 2367- 2394) ประเทศไทยมีความร่ำรวยจากการค้ากับประเทศจีนมาก ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนา มีการสร้างวัดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก รัชกาลที่ 3 เปิดโอกาสให้มิชชันนารีชาวอเมริกันเข้ามาเผยแผ่ศาสนาและการแพทย์ นอกจากนี้ยังมีการปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพน หรือ วัดโพธิ์ และเผยแพร่ความรู้ด้วยการจารึกวรรณคดี ตำรายาตลอดจนความรู้ที่สำคัญจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความสัมพันธ์ของความรู้ด้านศิลปะและพระพุทธศาสนาในสมัยนั้น สมัยรัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2394 – 2411) จึงได้เริ่มมีการจัดการศึกษาอย่างเป็นระบบและได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตก เนื่องจากรัชกาลที่ 4 ทรงมีความสนใจในศิลปะวิทยาการของชาวตะวันตก ทรงมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษ ภาษาบาลี และวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีพระราชประสงค์จะพัฒนาประเทศเพื่อลดความขัดแย้งกับชาติตะวันตกที่อยู่ในช่วงของการล่าอาณานิคม ดังนั้นเมื่อ พ.ศ. 2371 จึงโปรดให้มีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นในพระบรมหาราชวัง โดยมีมิชชันนารีชาวอเมริกันเป็นครู ทำหน้าที่สอนพระเจ้าลูกยาเธอที่มีพระชันษาสูงพอที่สามารถเรียนหนังสือได้ สำหรับการเรียนศิลปะในช่วงนั้นเป็นการเรียนจากช่างฝีมือตามบ้านของสกุลช่างต่าง ๆ ต่อมา พ.ศ. 2379 หมอบรัดเลย์ได้ตั้งโรงพิมพ์เพื่อพิมพ์หนังสือเป็นภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรก ชื่อ บางกอกรีคอร์เดอร์ (The Bangkok recorder) ทำให้มีความเคลื่อนไหวด้านการพิมพ์ การออกแบบปกหนังสือและมีความต้องการผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการพิมพ์และการออกแบบเพิ่มขึ้น