แนวคิดเกี่ยวกับศิลปศึกษา หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนในช่วงนี้ มีความเปลี่ยนแปลงหลายรูปแบบ โดยภาพรวมจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องการบริหารจัดการ จึงแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงแรก พ.ศ. 2411-2435 ช่วงที่สอง พ.ศ. 2435-2475 และ ช่วงที่สาม พ.ศ. 2475-2521 ทั้งสามช่วงนี้มีความเคลื่อนไหวทางแนวคิดและการดำเนินงานที่สำคัญดังต่อไปนี้

ช่วงแรก พ.ศ. 2411-2435

ช่วงนี้นับเป็น “ช่วงสร้างระบบการศึกษา” เป็นช่วงที่การศึกษาได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตก เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2411 – 2453) ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกาทุกด้าน ทำให้มีแนวคิดในการจัดการศึกษาแบบใหม่ ประกอบกับการที่รัชกาลที่ 5 ทรง     เลิกทาส จึงโปรดให้จัดการศึกษาเพื่อเป็นเครื่องมือนำไปสู่การสร้างอาชีพใหม่เพื่อให้ประชาชนจะได้ไม่ต้องกลับมาเป็นทาสอีก ประกอบกับภาครัฐมีความต้องการข้าราชการเพิ่มมากขึ้นและต้องการได้บุคคลที่มีความรู้ตามการศึกษาแบบใหม่เข้าไปรับราชการ จึงมีการปฏิรูปการศึกษาที่เน้นวัตถุประสงค์สำคัญ 3 ประการ คือ 1) เพื่อผลิตคนเข้ารับราชการ 2) เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ 3) เพื่อให้เด็กได้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนาเพิ่มมากขึ้น จะได้เป็นประชาชนที่มีพื้นฐานในการศึกษาศาสนาต่อไป ด้วยแนวคิดดังกล่าว ผลของการปฏิรูปการศึกษาในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงทำให้เกิดกระทรวง กรม โรงเรียนและแผนการศึกษาชาติขึ้น ดังจะเห็นได้จาก พ.ศ. 2414 มีการตั้ง “โรงเรียนหลวง” หรือ “โรงสกูล” ขึ้นในพระบรมมหาราชวังเป็นครั้งแรกสำหรับสอนภาษาไทยและสอนเลขสำหรับเด็กที่เป็นมหาดเล็ก และตั้ง “โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ” สำหรับเจ้านายที่รู้หนังสือไทยดีแล้ว เป็นการเริ่มต้นของการปรับตัวตามอิทธิพลตะวันตก เน้นการรู้หนังสือและอบรมสั่งสอนขนบธรรมเนียมข้าราชการ เพื่อเตรียมคนไปรับราชการ การรู้หนังสือขยายตัวไปสู่วิชาเลข ประวัติศาสตร์ บัญชี ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์ แต่ยังไม่พบหลักฐานว่ามีการเรียนการสอนศิลปะในระบบโรงเรียน การจัดตั้งโรงเรียนหลวงและโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษมีความแตกต่างไปจากโรงเรียนแบบโบราณหรือโรงเรียนวัด เนื่องจากมีสถานที่เรียนจัดไว้ให้เฉพาะ มีฆราวาสเป็นครูและสอนตามเวลาที่กำหนด สอนภาษาไทย ภาษาต่างประเทศและวิชาอื่น ๆ ที่ไม่เคยสอนในโรงเรียนแบบโบราณ มีการรับนักเรียนไว้เฉพาะเพื่อจะได้ฝึกฝนเล่าเรียนให้รู้หนังสือ รู้จักคิดเลขและเรียนรู้ขนบธรรมเนียม หลังจากจัดตั้งโรงเรียนหลวงแล้วทรงสถาปนาโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้น เพื่อสอนภาษาให้แก่เจ้านายสำหรับใช้ในการเจรจากับชาวต่างประเทศและผู้แทนของต่างประเทศ จนกระทั่ง พ.ศ. 2427 ได้สถาปนาโรงเรียนสำหรับราษฎร์ขึ้นแห่งแรกในประเทศไทย และ พ.ศ. 2428 โปรดให้ตั้งโรงเรียนสำหรับประชาชนขึ้นในวัดระยะแรกมีพระภิกษุสงฆ์ทำหน้าที่เป็นครูสอนเมื่อมีจำนวนโรงเรียนเพิ่มมากขึ้น จึงให้มิชชันนารีมาเป็นครูสอนแทน ใน พ.ศ. 2430 ได้มีการตั้งกรมศึกษาธิการขึ้นเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบด้านการจัดระบบการศึกษาของประเทศ

ช่วงที่สอง พ.ศ. 2435 – 2475

ช่วงนี้เป็น “ช่วงเริ่มสอนศิลปะ” เนื่องจากเริ่มมีการตั้งหน่วยงานสำคัญขึ้นดูแลด้านการจัดการศึกษา ใน พ.ศ. 2435 มีการตั้งกระทรวงธรรมการและมีแผนการศึกษาแห่งชาติฉบับแรกขึ้น สำหรับการจัดการศึกษาทั่วไปนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้เรียนในด้านสติปัญญา จิตใจ ร่างกาย และการเข้าสังคม แผนนี้ในระยะแรกนั้นยังไม่มีการสอนที่เกี่ยวข้องกับศิลปะและในปีเดียวกันนี้เองกระทรวงธรรมการได้ตั้งโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ขึ้น เพื่อผลิตครูที่มีความรู้ออกไปสอนเด็กตามหลักสูตรและมีการแบ่งประเภทโรงเรียนออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) โรงเรียนมูลศึกษา 2) โรงเรียนเชลยศักดิ์ ช่วงนี้เริ่มมีการจัดการเรียนการสอนศิลปะขึ้นในลักษณะของ “ช่างฝึกหัด” (apprenticeship) มีการถ่ายทอดความรู้ด้านศิลปะตามลักษณะเฉพาะและความเชี่ยวชาญของครู พ.ศ. 2438 มีการเรียนวิชาเขียนภาพในระดับชั้นมูลสามัญชั้นสูง

เมื่อ พ.ศ. 2441 รัฐบาลได้ประกาศใช้โครงการศึกษาของชาติขึ้นเป็นครั้งแรกและแบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) การศึกษาสายสามัญ เป็นการเรียนในระดับมูลศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษาและอุดมศึกษา และ 2) การศึกษาพิเศษ เป็นการเรียนในวิชาเฉพาะ มีการฝึกหัดอาจารย์ ศิลปะ ข้าราชการ กฎหมาย การแพทย์ การช่าง การค้า และการเพาะปลูก ต่อมาเมื่อมีหลักสูตร พ.ศ. 2445 จึงมีการประกาศแผนการศึกษาชาติขึ้นใหม่

เริ่มมีการรับนักเรียนศิลปะขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2448 เนื่องจากกระทรวงธรรมการมีการตั้งกองช่างแกะไม้ขึ้น เพื่อทำแม่พิมพ์สำหรับแกะไม้เป็นภาพประกอบแบบเรียนของกองแบบเรียน ต่อมา พ.ศ. 2450 สามัคยาจารย์สมาคมของกระทรวงธรรมการได้มีการจัดการศึกษาด้านช่างศิลปหัตถกรรมขึ้น จึงเริ่มรับนักเรียนสำหรับฝึกหัดการเป็นช่างแกะไม้และช่างเขียน นับเป็นการจัดการเรียนการสอนศิลปะในประเทศไทยระยะแรก ต่อมามีการจัดการเรียนการสอนศิลปะขึ้นในวิชาเรขาคณิต นอกจากนี้ใน พ.ศ. 2450 ยังมีการปรับปรุงการจัดการศึกษาโดยแบ่งสายของสามัญศึกษาออกเป็น 2 แผนก คือ แผนกสามัญกับแผนกพิเศษ สำหรับสายวิสามัญศึกษา ประกอบด้วยประถมศึกษาและมัธยมศึกษา

ต่อมาในหลักสูตร พ.ศ. 2452 ได้แบ่งการศึกษาออกเป็น 4 ระดับ คือ 1) มูลศึกษา (ก่อนวัยเรียน) 2) ประถมศึกษา 3) มัธยมศึกษา 4) มัธยมสูง นอกจากนี้ยังเริ่มมีการสอนศิลปศึกษาทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา จัดเป็นวิชาเลือกโดยให้เลือกจากวิชาวาดเขียนกับวิชาขับร้อง สำหรับวิชาวาดเขียนเน้นการสังเกตและการเขียนรูปซึ่งแบ่งตามปรัชญาออกเป็น 2 ด้าน คือ 1) เน้นการวาดเขียนโดยมีเป้าหมายและกระบวนการทางศิลปะ (Art) เน้นการเขียนภาพจากของจริงด้วยการสังเกต 2) เน้นการใช้ฝีมือที่มีเป้าหมายและกระบวนการในเชิงช่าง (Craft) และการออกแบบตามแนวคิดของตะวันตก ในสมัยรัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2453 – 2468) พ.ศ. 2453  และ 2454 กระทรวงธรรมการได้ออกแบบหลักสูตรใหม่และประกาศใช้แผนการศึกษาชาติ โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น 2 สาย คือ 1) สายสามัญ เป็นสายความรู้ทางวิชาการ 2) สายวิสามัญ เป็นสายความรู้เกี่ยวกับอาชีพมีการกำหนดให้สอนศิลปะในระดับมัธยมศึกษาในลักษณะของการเขียนรูปเรขาคณิต (Geometry) ทำให้มีความต้องการครูช่างไปสอนในโรงเรียนสามัญเพิ่มมากขึ้น สมัคยาจารย์สมาคมจึงโอนโรงเรียนเพาะช่างและโรงงานช่างให้กระทรวงธรรมการแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนหัตถกรรมราชบูรณะ” ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนวิชาพณิชยกรรม เกษตรกรรม และศิลปกรรม ตามแนวพระราชดำริในการทำนุบำรุงศิลปะการช่างและหัตถกรรมไทย ต่อมา พ.ศ. 2456 ได้เปลี่ยนชื่อจาก “โรงเรียนหัตถกรรมราชบูรณะ” เป็น “โรงเรียนเพาะช่าง” เพื่อสอนศิลปหัตถกรรมขึ้นเป็นแห่งแรกโดยจัดให้เรียน “วิชาหัตถศึกษา” หรือ “วิชาช่าง” ในหลักสูตร รวมถึงจัดให้โรงเรียนฝึกหัดครูเรียนรายวิชาดังกล่าวด้วย ช่วงระยะแรกโรงเรียนแบ่งการสอนออกเป็น 8 แผนก คือ แผนกพิมพ์รูป แผนกช่างเขียน แผนกช่างปั้น แผนกช่างแกะ แผนกช่างถม แผนกช่างกลึง แผนกช่างไม้ และแผนกสถาปัตยกรรม โดยเรียนวิชาทั้งหมด 7 วิชา คือ วิชาภาพร่าง วิชาลายไทย วิชาลายฝรั่ง วิชาวาดเส้น วิชาเขียนพู่กัน วิชาช่างแบบอย่าง และวิชาเรขาคณิต เมื่อมีการประกาศใช้แผนการศึกษาชาติขึ้น พ.ศ. 2458 ในสมัยรัชกาลที่ 6 นั้น ได้มีการตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาด้วย โดยประกาศให้เด็กอายุ 7-14 ปี เข้าเรียนในโรงเรียนโดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ต่อมา ได้ทรงสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขึ้นเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 เพื่อให้เป็นมหาวิทยาลัยที่สอนระดับอุดมศึกษาและเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาในระดับอุดมศึกษา โดยสรุปช่วง พ.ศ. 2459-2469 มีการฝึกหัดครูชาย ได้แก่ ครูประกาศนียบัตรมณฑล ครูมูล ครูประถม ครูมัธยม ครูกสิกรรม ครูหัตถกรรม ครูวาดเขียนและครูฝึกหัดต่างประเทศ สำหรับการฝึกหัดครูหญิง ได้แก่ ครูฝึกหัดครูมูล และครูประถมเท่านั้น เนื่องจากในช่วงเวลานั้นการศึกษาส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับชายมากกว่าหญิง ต่อมา พ.ศ. 2466 รัฐบาลได้ทำหนังสือไปยังประเทศอิตาลีเพื่อให้รัฐบาลอิตาลีคัดเลือกนักประติมากรผู้เชี่ยวชาญเข้ามารับราชการในประเทศไทยเพื่อทำหน้าที่ปฏิบัติงานหล่อและถ่ายทอดความรู้ทางศิลปะให้ประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลอิตาลีได้ส่ง Mr. Corodo Feroci ชาวอิตาเลียน เข้ามารับราชการในตำแหน่งดังกล่าว พ.ศ. 2469 Mr. Corodo Feroci ได้ย้ายมาเป็นช่างปั้น สังกัดกองประณีตศิลปกรรม กรมศิลปากร กระทรวงธรรมการ ต่อมา พ.ศ. 2471 การศึกษาในประเทศไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเรียนศิลปะจึงไม่ได้บรรจุรายวิชาศิลปะไว้ในหลักสูตร

ช่วงที่สาม พ.ศ. 2475-2521

ช่วงนี้เป็น “ช่วงสมัยนิยมศิลปศึกษา” เนื่องจากหลักสูตร พ.ศ. 2471 ไม่มีวิชาศิลปะประกอบกับใน พ.ศ. 2475 นี้เป็นระยะของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีการปฏิรูประบบ หน่วยงานและการทำงานหลายด้าน ในหลักสูตร พ.ศ. 2475 จึงได้มีการนำวิชาศิลปะกลับมาอยู่ในหลักสูตรและจัดให้สอนเป็นวิชาบังคับ มีการสอนวาดเขียน ทำงานฝีมือและสอนขับร้องด้วย กระทั่ง พ.ศ. 2477 กรมศิลปากรได้รับมอบหมายให้ตั้งโรงเรียนประณีตศิลปกรรม โดยแต่งตั้งให้ Mr. Corodo Feroci เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนและทำหน้าที่สอนศิลปะทั้งทางด้านภาคทฤษฎีและปฏิบัติเพื่อสอนศิลปหัตถกรรมสำหรับนักเรียนเป็นแห่งแรก ต่อมาหลักสูตร พ.ศ. 2480 ได้มีการออกแบบรายวิชาและเนื้อหารายวิชาให้เป็นไปตามแนวคิด ทฤษฎี และกิจกรรมของตะวันตก คือ มีเนื้อหาที่เน้นในเรื่องศิลปะบาศกนิยม (Cubism) เน้นการนำเสนอผลงานที่เป็นเส้นหรือรูปทรงเรขาคณิต มีการนำเสนอศิลปะประเภทภาพประดิษฐ์ที่เน้นการออกแบบตกแต่งโดยใช้รูปทรงธรรมชาติเป็นหลัก มีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นการทำงานในลักษณะของความเป็นช่างฝีมือมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการกำหนดเนื้อหาในการสอนศิลปะเพิ่มมากขึ้น โดยให้สอนศิลปะในเรื่องต่อไปนี้ คือ การวาดเส้น การเขียนหุ่นนิ่งจากรูปของจริง การลอกลายจากตัวอย่างหรือแบบพิมพ์ การเขียนภาพตามต้นแบบของครูรวมถึงการเขียนภาพประดิษฐ์ด้วย เหตุการณ์สำคัญต่อมาคือ “โรงเรียนประณีตศิลปกรรม” ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนศิลปากรแผนกช่าง”

เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482 – 2488) ขึ้นทำให้สภาพบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงคราม ต่อมา พ.ศ. 2486 โรงเรียนศิลปากรแผนกช่างได้รับการยกฐานะให้เป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร มีหลักสูตรสำหรับสอนนักศึกษาระดับอุดมศึกษา ในระยะแรกใช้หลักสูตรแบบยุโรปในการจัดการเรียนการสอน เรียกว่า หลักสูตรแบบ Academy เป็นหลักสูตรที่เน้นการวาดภาพแบบเหมือนจริง มี Mr. Corodo Feroci เป็นคณบดีคนแรกและเป็นอาจารย์ผู้สอน ต่อมา พ.ศ. 2487 Mr. Corodo Feroci จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ศิลป์ พีระศรี” 

หลักสูตร พ.ศ. 2491 มีการกำหนดให้สอนศิลปะในระดับอุดมศึกษา 1 ชั้น ตามหลักสูตรแต่ในทางปฏิบัติไม่ได้มีการสอนตามหลักสูตรที่กำหนดไว้ พ.ศ. 2492 อาจารย์ศิลป์ได้จัดให้มีงานแสดงศิลปกรรมแห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรก มีการแสดงผลงานด้านจิตรกรรม ประติมากรรม ศิลปะประยุกต์และมัณฑนศิลป์ ต่อมาในช่วงหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พ.ศ. 2493 ได้เริ่มให้ความสำคัญกับการสอนศิลปะเพิ่มมากขึ้นจึงกำหนดให้มี “วิชาวาดเขียน” ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกการสังเกต ฝึกการใช้สี ทำงานศิลปะเพื่อให้รู้จักรักสวยรักงาม สร้างความเพลิดเพลิน และฝึกการทำงานให้มีความละเอียดประณีต แสดงให้เห็นได้จากการกำหนดเนื้อหาให้สอนเพิ่มขึ้น เช่น สอนการระบายสี การประดิษฐ์ลวดลาย การเขียนลายไทย และการออกแบบ เป็นต้น ในแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2494 นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นการจัดการศึกษาเรื่องจริยศึกษา พุทธิศึกษา พลศึกษาและหัตถศึกษา แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของศิลปศึกษามากขึ้น ต่อมา พ.ศ. 2495 มีการตั้ง “โรงเรียนศิลปศึกษา” ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมนักเรียนมัธยมเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยศิลปากร

หลักสูตร พ.ศ. 2498 เป็นหลักสูตรที่มีความสำคัญต่อวงการศิลปศึกษา เนื่องจากมีการจัดรายวิชาศิลปะให้เป็นหมวดวิชาเลือกในหลักสูตร โดยใช้ชื่อว่า “ศิลปศึกษา” ขึ้นเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังมีการกำหนดให้รายวิชาศิลปศึกษามีจำนวนชั่วโมงเรียนเทียบเท่ากับรายวิชาสังคมศึกษาแขนงหนึ่ง ซึ่งในอดีตการเรียนการสอนศิลปะเป็นเพียงรายวิชาที่แทรกอยู่ในหมวดเบ็ดเตล็ด หลักสูตรนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของรายวิชาศิลปศึกษาและจัดให้มีรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับศิลปะสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผู้เรียนที่อยู่ในหมวดศิลปศึกษาด้วย โดยกำหนดให้มีวิชาเลือก 4 วิชา คือ 1) วิชาดนตรี – ขับร้อง 2) วิชาเขียนภาพ วิชาการปั้นและสลัก            3) วิชาการประพันธ์และวิชาการละคร 4) วิชาเลือก ซึ่งประกอบด้วยเครื่องไม้ เครื่องโลหะ เครื่องดิน เครื่องไม้ไผ่ งานกระดาษสา และงานทอ กระทั่งใน พ.ศ. 2498 ตอนปลายได้มีการปรับปรุงหลักสูตรครั้งใหญ่และดำเนินการเสร็จเรียบร้อยเมื่อ พ.ศ. 2501 การปรับปรุงหลักสูตรครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของศิลปศึกษาเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีการกำหนดให้ศิลปะเป็นวิชาบังคับในหลักสูตร ซึ่งประกอบด้วย “ศิลปศึกษา” และ “ศิลปะปฏิบัติ” ต่อมาจึงได้ประกาศใช้หลักสูตรนี้อย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2503 ด้านโรงเรียนเฉพาะทางศิลปะ คือ โรงเรียนศิลปศึกษานั้นต่อมา พ.ศ. 2519 ได้รับการยกฐานะจากโรงเรียนให้เป็น “วิทยาลัยช่างศิลป” มีการจัดการเรียนการสอนโดยใช้หลักสูตร 3 ปี สอนเฉพาะแผนกจิตรกรรมและประติมากรรม

นอกจากนี้ระหว่างการใช้หลักสูตรดังกล่าวยังมีการปรับปรุงหลักสูตร พ.ศ. 2503 เรื่อยมาจนกระทั่งได้หลักสูตร พ.ศ. 2521 ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ประกอบด้วยหลักสูตรระดับประถมศึกษา มีการจัดให้วิชาศิลปะอยู่ในหมวดเสริมประสบการณ์ชีวิตและในหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้นได้กำหนดให้วิชาศิลปะอยู่ในกลุ่มวิชาพัฒนาบุคลิกภาพ ในปีเดียวกันนี้เองได้มีการประกาศแผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับ พ.ศ. 2521 ขึ้นและมีการจัดทำหลักสูตร พ.ศ. 2521 ทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา โดยในระดับประถมศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แสดงออกทางการทำงานศิลปะได้ตามความถนัด เห็นความสำคัญของคุณค่าของศิลปะ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เน้นการทำงานให้สนุกสนานเพลิดเพลินสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ และสามารถนำศิลปะไปประยุกต์ใช้โดยแสดงให้เห็นคุณค่าและรสนิยมที่ดีได้ สำหรับระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นการพัฒนาความสามารถทางศิลปะของบุคคล สำรวจความสนใจ ความถนัด สร้างความรู้ ความเข้าใจ เห็นคุณค่า เน้นความสัมพันธ์ของศิลปะกับชีวิตประจำวัน พัฒนาบุคลิกภาพ การแสดงออก ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สร้างงานอดิเรกและสร้างอาชีพ รวมถึงผ่อนคลายอารมณ์ ต่อมามีการปรับปรุงหลักสูตรทั้งระดับประถมและมัธยมศึกษาตอนต้น เป็นหลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) มีการจัดวิชาศิลปศึกษาให้อยู่ในกลุ่มสร้างเสริมลักษณะนิสัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ในการทำงานศิลปะ มีทักษะ มีเจตคติที่ดี เห็นคุณค่าของความงาม มีความมั่นใจในตนเองและรู้จักชื่นชมความสามารถของตนเอง ส่วนหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พ.ศ. 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) มีการจัดให้วิชาศิลปศึกษาอยู่ในกลุ่มวิชาพัฒนาบุคลิกภาพ เน้นให้ผู้เรียนนำศิลปะไปใช้พัฒนาลักษณะนิสัยของตนเอง สำรวจความสนใจในศิลปะ เห็นคุณค่าและความสำคัญของศิลปะในชีวิตประจำวัน พัฒนาบุคลิกภาพให้มีรสนิยม รู้จักแสดงออก ค้นคว้า ทดลอง สร้างสรรค์ ร่วมมือกับส่วนรวม อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย นำไปสู่การสร้างงานอดิเรกและพัฒนาอาชีพ รวมถึงผ่อนคลายทั้งด้านอารมณ์และจิตใจ (กรมวิชาการ, 2539, เอกสารหมายเลข 2) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนารายวิชาศิลปะที่นำไปสู่เป้าหมายที่เปิดกว้างมากขึ้นเนื่องจากมีการคำนึงถึงคุณค่าทางศิลปะ คุณค่าในเชิงผลสะท้อนและจิตวิทยา รวมถึงการจัดกิจกรรมศิลปะที่เปิดกว้างขึ้น เพื่อตอบสนองเป้าหมายดังกล่าว มีการใช้กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำงานศิลปะเน้นเสรีภาพและสอดคล้องกับวุฒิภาวะของเด็กในแต่ละวัย การสอนศิลปะในยุคนี้มีการนำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการตัด ฉีก พับกระดาษ การสะสม การปั้น การแกะสลัก การพิมพ์ภาพ การประดิษฐ์ ตลอดจนการนำศิลปะไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ด้านอื่นด้วย ช่วงที่ดำเนินการใช้หลักสูตรนี้นั้นรัฐบาลได้มีการกำหนดระบบการศึกษาขึ้นเป็นแบบ 6 : 4 : 2 คือ เรียนในชั้นประถมศึกษา จำนวน 6 ปี (ประถมปีที่ 1-6) เรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 4 ปี (ม.1-4) และเรียนในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 2 ปี (ม.5-6) ในหลักสูตรกำหนดให้วิชาศิลปศึกษาประกอบด้วย วิชาวาดเขียน วิชาประติมากรรม และวิชาภาพพิมพ์ สำหรับศิลปะปฏิบัติ หรือ วิชาอุตสาหกรรมศิลป์จะประกอบด้วยรายวิชาที่เกี่ยวกับช่างหลายประเภท ต่อมาเมื่อกระทรวงศึกษาธิการยกฐานะโรงเรียนเพาะช่างให้เป็นวิทยาลัยใน พ.ศ. 2510 แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญของการสอนศิลปะเพิ่มมากขึ้น และเมื่อโรงเรียนเพาะช่างได้ปรับปรุงหลักสูตรใหม่ใน พ.ศ. 2511 แสดงให้เห็นถึงความต้องการครูศิลปะในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นด้วย เนื่องจากหลักสูตรของโรงเรียนเพาะช่างมีการผลิตครูศิลปะระดับมัธยมเพิ่มขึ้นและขยายงานหัตถกรรมออกเป็น 6 แขนง คือ เครื่องโลหะ เครื่องทอย้อม เครื่องรัก เครื่องไม้ เครื่องไม้ไผ่ และเครื่องดิน ช่วงเวลานี้เองโรงเรียนเพาะช่างได้รับการยกฐานะให้เป็นวิทยาลัยและปรับปรุงหลักสูตรจนถึงระดับปริญญาตรี มีการขยายวิชาออกเป็นวิชาพาณิชยศิลป์และวิชาศิลปะประจำชาติ เป็นต้น ในขณะเดียวกันวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร ได้เปิดหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (กศ.บ.) ศิลปศึกษาที่ใช้ระยะเวลาเรียน 2 ปี ซึ่งเป็นหลักสูตรแบบต่อยอด หลักสูตรแรกที่รับผู้เรียนจากการศึกษาประเภทอื่นมาเรียนครูศิลปะต่อ 2 ปี แล้วจึงจบออกไปเพื่อเป็นครู ในปีเดียวกันนี้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เปิดหลักสูตรศิลปศึกษาในระดับอุดมศึกษาขึ้นเป็นหลักสูตรเต็มรูปแบบโดยรับผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้ามาเรียนในหลักสูตรเป็นระยะเวลา 4 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตครูศิลปะสำหรับสอนในระดับประถมและมัธยมศึกษา จบมาเป็นครูศิลปะ นักวิชาการ นักการศึกษา (คณะครุศาสตร์, 2021) หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาศิลปศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงนับเป็นหลักสูตรศิลปศึกษาแบบเต็มรูปแบบที่ใช้ระยะเวลาเรียน 4 ปี เป็นหลักสูตรแรกในประเทศไทยและเมื่อเรียนจบแล้วสามารถไปสอบบรรจุเป็นครูสอนศิลปะในระดับประถมและมัธยมศึกษาได้ทันที ต่อมาคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เปิดหลักสูตรศิลปศึกษาวิชาเอกอุตสาหกรรมศิลป์ขึ้นเพื่อผลิตครูศิลปะไปสอนในโรงเรียนและให้สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2520