เมื่อพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้มีการปรับปรุงเป็นพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 แล้ว มีประเด็นสำคัญ คือ เรื่องการกระจายอำนาจการศึกษาให้ทุกระดับโดยเฉพาะระดับท้องถิ่นและสถานศึกษาให้สามารถปรับและ ยืดหยุ่นได้ การจัดหลักสูตรจึงสามารถจัดให้เป็นตามความเหมาะสมของท้องถิ่นได้อย่างอิสระ เพื่อให้ท้องถิ่นและสถานศึกษาได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง ประกอบกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่เน้นการพัฒนาเยาวชนให้มีความพร้อมที่จะเป็นประชากรในศตวรรษที่ 21 ดังนั้นจึงมีการประกาศหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 และมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดฯ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ขึ้น มีการกำหนดสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ ปรับการจัดระดับการศึกษาเป็น 3 ระดับ คือ ระดับประถมศึกษา (ชั้น ป. 1-6) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ชั้น ม. 1-3) และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ชั้น ม.4-6)

ปี พ.ศ. 2547 ได้มีการปรับปรุงหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาศิลปศึกษา ให้เป็นหลักสูตร 5 ปี ซึ่งเป็นไปตามโครงสร้างของหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรมีใบประกอบวิชาชีพครู ซึ่งเป็นวิชาชีพที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย สามารถสอนได้ทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา (คณะครุศาสตร์, 2021) ในปี พ.ศ. 2554 ได้มีการเปิดหลักสูตรครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาศิลปศึกษา โดยมีจุดประสงค์เพื่อผลิตนักวิจัยด้านศิลปศึกษาผู้สร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมทางศิลปศึกษาขั้นสูง โดยใช้ศาสตร์ศิลปศึกษาเป็นแกนหลักในการพัฒนาไปสู่ความเป็นองค์กรแห่งภูมิปัญญาของประเทศและในปี พ.ศ. 2561 ได้มีการปรับหลักสูตรศิลปศึกษาให้เป็นหลักสูตร 4 ปี เพื่อผลิตบัณฑิตที่สามารถเลือกได้ว่าจะไปประกอบอาชีพครูหรืออาชีพอื่นที่เกี่ยวข้องได้ โดยหลักสูตรนี้ผู้เรียนจะไม่ได้รับใบประกอบวิชาชีพครู แต่สามารถนำวุฒิการศึกษาไปสมัครขอใบประกอบวิชาชีพครูจากคุรุสภาได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้

ภาพที่ 4 สรุปปรัชญาและช่วงเวลาสำคัญของหลักสูตรศิลปศึกษาในประเทศไทย ที่มา: พัฒนาจากข้อมูลที่ผู้เขียนสรุป   

 บทสรุปและการวิเคราะห์

ประวัติศาสตร์และปรัชญาของหลักสูตรศิลปศึกษาในประเทศไทยแบ่งช่วงเวลาสำคัญของการพัฒนาการศึกษาออกเป็น 4 ช่วง ตั้งแต่การศึกษาสมัยโบราณจนถึงการศึกษาหลังสมัยใหม่ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลานั้นได้สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าของการจัดระบบการศึกษา การประยุกต์ใช้ปรัชญาตลอดจนการพัฒนาหลักสูตรศิลปศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมและเศรษฐกิจในแต่ละยุคสมัยโดยในช่วงแรกการศึกษาศิลปะในประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมและศิลปะท้องถิ่นที่ผ่านพระสงฆ์ในวัดต่อมาจึงเริ่มมีการปรับตัวและรับอิทธิพลจากตะวันตกในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้มีการจัดระบบการศึกษาในประเทศไทยขึ้นอย่างเป็นทางการมีการกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อผลิตและพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และทักษะสำหรับการเข้ารับราชการและการประกอบอาชีพสำหรับศิลปะในยุคแรกนั้นเน้นการสอนวาดเขียนและการทำงานฝีมือแบบอนุรักษ์นิยม

เมื่อมีการตั้งโรงเรียนและผลิตครูหัตถกรรมขึ้น ทำให้วิชาศิลปศึกษาเริ่มมีบทบาทสำคัญ มีการจัดตั้งโรงเรียนเพาะช่างและมหาวิทยาลัยศิลปากร มีการการบูรณาการหลักสูตรศิลปศึกษากับแนวคิดร่วมสมัยและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สำรวจความสามารถและความสนใจของตนเอง หลักสูตรและวิธีการสอนศิลปะจึงเริ่มเน้นไปที่การฝึกปฏิบัติจริงและบูรณาการกับการสร้างสรรค์ผลงานในชีวิตประจำวัน เช่น ในหลักสูตร พ.ศ. 2521 มีการฝึกงานร่วมกับสถานประกอบการและให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะสำหรับประกอบอาชีพ นอกจากการศึกษาเพื่อเข้ารับราชการ

ช่วงต่อมาได้มีการปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 โดยกำหนดให้ศิลปศึกษาเป็นวิชาบังคับในกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ และแบ่งสาระการเรียนรู้ศิลปะออกเป็น 2 มาตรฐาน คือ มาตรฐานด้านทัศนศิลป์และมาตรฐานด้านการสร้างสรรค์ผลงาน หลักสูตรในปัจจุบันยังคงให้ความสำคัญกับการตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม มีการกำหนดสาระการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการศึกษาหลังสมัยใหม่ที่เน้นการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM (Science, Technology, Engineering, Arts, and Mathematics) เพื่อบูรณาการความรู้และทักษะผ่านการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และศิลปะในการแก้ปัญหาและพัฒนาทักษะชีวิต พัฒนาทักษะเชิงสร้างสรรค์ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้พร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ และการส่งเสริมการเรียนรู้เชิงบูรณาการเพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมในการพัฒนาประเทศในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว