หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พ.ศ. 2521 เป็นหลักสูตรที่กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้นั้น มีการจัดทำคู่มือ แนวการใช้หลักสูตร คู่มือการจัดกิจกรรม และคู่มืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนำหลักสูตรไปใช้ให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งหลักสูตรนี้นับเป็นหลักสูตรที่มีความสมบูรณ์ในด้านการออกแบบและการนำไปใช้มากที่สุด มีการส่งเสริมให้นักเรียนได้หาความรู้จากภายนอกโรงเรียน มีการฝึกปฏิบัติในสถานประกอบการ รวมถึงสถานประกอบอาชีพอิสระในระดับชั้นมัธยมศึกษา ต่อมา พ.ศ. 2523 มีการทำโครงการเรียนที่บ้านโดยอยู่ภายใต้การนิเทศการศึกษาของครู (Home Project) และมีการฝึกหัดอาชีพร่วมกับผู้ปกครอง (Home Training) ด้วย มีการกำหนดให้จัดรายวิชากลุ่มการงานและอาชีพขึ้น โดยให้สอนวิชาการงาน จำนวน 5 งาน คือ 1) การดูแลรักษาบ้าน 2) งานช่างในบ้าน ซึ่งประกอบด้วยงานเขียนแบบ งานไม้ งานโลหะ งานไฟฟ้า และงานหัตถกรรม 3) งานเกษตร 4) งานผ้าและการตัดเย็บ 5) งานอาหารและโภชนาการ เพื่อให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์การทำงานที่หลากหลายและช่วยให้ได้ทราบถึงความถนัดของตนเองมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการแบ่งแผนการเรียนออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) แผนการเรียนวิชาสามัญ และ 2) แผนการเรียนวิชาชีพ กำหนดให้ ม.1-2 เลือกเรียน ปีละ 6 คาบ สำหรับ ม.3 เลือกเรียน ปีละ 12 คาบ สำหรับศิลปะจะอยู่ในแผนการเรียนวิชาอาชีพ (พื้นฐานอาชีพช่างศิลป์) โดยเรียนในระดับ ม.1-3 ตามจำนวนคาบข้างต้นที่กำหนดให้ทั้งปี นอกจากนี้ผู้เรียนยังสามารถขอเปลี่ยนแผนการเรียนได้ด้วย หลักสูตรนี้มีจุดเด่น คือ การฝึกวิชาอาชีพ โดยมีความแตกต่างกันระหว่างวิชาการงานและวิชาอาชีพ เนื่องจากวิชาการงานจะเป็นวิชาที่เน้นการทำงานด้านหัตถศึกษา เน้นให้ผู้เรียนรู้หลักการด้านวิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน รู้จักเครื่องมือ การผลิต การดำรงชีวิตได้อย่างชาญฉลาดประกอบกับสามารถแก้ปัญหาและประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตประจำวันได้ ขณะที่วิชาอาชีพจะเป็นวิชาที่เน้นการหารายได้สำหรับการดำรงชีวิต จึงเน้นให้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการ การผลิต ทักษะในการประกอบอาชีพ การหาแหล่งผลิตวัสดุ การคำนวณต้นทุน กำไร รวมถึงการจัดจำหน่าย วิชานี้จึงเน้นทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพเพื่อนำไปสู่การหารายได้ให้เพียงพอต่อการดำรงชีพ ดังจะเห็นได้จากการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ไปฝึกอาชีพในสถานประกอบการและประกอบอาชีพอิสระ เป็นต้น ด้านศิลปะ เน้นให้มีการสำรวจตนเอง ด้านสติปัญญา ความสามารถ ความถนัดและความสนใจในการทำงานศิลปะประเภทต่าง ๆ และแนวทางประกอบอาชีพของผู้เรียนในอนาคต
หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. 2524 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) จัดศิลปะให้อยู่ในกลุ่มวิชาพัฒนาบุคลิกภาพและปรับชื่อวิชาเป็น “วิชาศิลปะ” เน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจด้านศิลปะ มีทักษะในการทำงานศิลปะ เห็นคุณค่าของศิลปะและวัฒนธรรมไทย นำความรู้ด้านศิลปะไปใช้ในการอนุรักษ์และพัฒนาศิลปะ ช่วงระยะเวลานี้การเรียนการสอนศิลปะได้รับความนิยมและมีความต้องการครูศิลปะจำนวนมากขึ้น เนื่องจากมีการบรรจุรายวิชาศิลปศึกษาเป็นวิชาบังคับในหลักสูตร จึงมีความต้องการครูศิลปะไปสอนในหลักสูตรระดับประถมและมัธยมทั่วประเทศ ประกอบกับครูประจำการมีความสนใจในการพัฒนาความรู้ทางวิชาการและความก้าวหน้าในวิชาชีพ พ.ศ. 2526 ภาควิชาศิลปศึกษา คณะครุศาสตร์ จึงได้เปิดหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศิลปศึกษาขึ้นเพื่อผลิตบัณฑิตระดับปริญญาโท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตครู บุคคลากรทางการศึกษา นักวิชาการและนักวิจัยทางศิลปศึกษาที่มีศักยภาพในการจัดการเรียนรู้แนวใหม่ ไปเป็นผู้นำทางวิชาการสามารถสร้างและวิจัยองค์ความรู้สำหรับสถาบันการศึกษาในประเทศไทย
เมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ขึ้นได้กำหนดให้จัดการศึกษาภาคบังคับสำหรับประชาชน จำนวน 9 ปี นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการยังได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 แทนหลักสูตรทั้ง 3 หลักสูตร คือ หลักสูตรระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย มีการกำหนดหลักสูตรแกนกลางให้มีโครงสร้างแบบยืดหยุ่น และมีการกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ในภาพรวม จำนวน 12 ปี ประกอบด้วยสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระ โดยจัดเป็นมาตรฐานการเรียนรู้ตามช่วงชั้น ที่มีช่วงชั้นละ 3 ปี เป็นหลักสูตรที่ประกอบด้วย 4 ช่วงชั้น คือ ช่วงชั้นที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 ช่วงชั้นที่ 2 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ช่วงชั้นที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 และช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 นอกจากนี้ยังมีการจัดสาระการเรียนรู้ออกเป็น 8 กลุ่ม และกำหนดให้ศิลปะเป็นหนึ่งในกลุ่มสาระดังกล่าว โดยแบ่งเป็นสาระที่ 1 ทัศนศิลป์ ประกอบด้วยมาตรฐาน ศ 1.1 ที่กล่าวถึงภาพรวมของการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์คุณค่าของผลงาน สามารถถ่ายทอดความคิด ความรู้สึกผ่านการทำงานศิลปะได้อย่างอิสระและสามารถประยุกต์ใช้ศิลปะในชีวิตประจำวันได้ สำหรับมาตรฐาน ศ 1.2 ในภาพรวมจะเน้นความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์กับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นได้ทั้งไทยและสากล
